โรคฝีดาษลิง หรือ โรคฝีดาษวานร คืออะไร
โรคฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis Diseases) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันกับเชื้อไวรัสโรคไข้ทรพิษ ( Smallpox ) แต่ความรุนแรงของโรคน้อยกว่า โดยโรคนี้ถูกพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) เกิดโรคระบาดในลิงที่ใช้เพื่อการศึกษาวิจัย ทำให้เกิดเป็นโรคฝีดาษลิงดังกล่าว โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อที่พบในทวีปแอฟริกา จนถูกทำให้เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic disease) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ
1. สายพันธุ์แอฟริกากลาง (Congo Basin) มีความรุนแรงมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิต
2. สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก (West African) มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์แอฟริกากลางมาก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ขณะนี้
การติดต่อของโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
โรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร สามารถแพร่กระจายได้ง่าย แบ่งออกเป็น
1. การติดต่อจากสัตว์สู่คน
- สัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ติดเชื้อ
- ถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด หรือข่วน
- กินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อ และปรุงสุกไม่เพียงพอ
2. การติดต่อจากคนสู่คน
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยทางสารคัดหลั่งต่างๆ จากผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรือจากการหายใจ เช่น การจาม ไอ
- จากมารดาสู่ลูกในครรภ์
- การสัมผัสสิ่งของที่มีการปนเปื้อนจากสารคัดหลั่ง
ระยะฟักตัว และอาการของโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
ระยะเวลาฟักตัว (ช่วงเวลาตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ) ของโรคฝีดาษวานรมีตั้งแต่ 7-21 วัน โดยอาการจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
- ระยะก่อนออกผื่น ประมาณ 0-5 วัน มีอาการมีไข้, ปวดศีรษะมาก, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียกว่าปกติ รวมไปถึงภาวะต่อมน้ำเหลืองโตเป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษลิง เปรียบเทียบกับโรคอื่นที่อาจแสดงอาการแรกเริ่มคล้ายกัน เช่น โรคอีสุกอีใส หัด เป็นต้น
- ระยะออกผื่น ปกติเริ่มภายใน 1-3 วันหลังจากเริ่มมีไข้ มีตุ่มผื่นมักขึ้นอย่างหนาแน่นบนใบหน้า,แขนและขามากกว่าลำตัว โดยผื่นจะมีขนาด 2-10 มิลลิเมตร หากผ่าน 2-4 สัปดาห์ต่อมา ก็สามารถเกิดตุ่มผื่นได้ทั้งทั่วทุกบริเวณบนร่างกาย เช่น ใบหน้า , ฝ่ามือฝ่าเท้า ,เยื่อบุช่องปาก ,อวัยวะเพศ ,เยื่อบุตา และกระจกตาก็ได้รับผลกระทบด้วย
โดยผื่นเริ่มจากเป็นแดงเล็กๆ แล้วจะค่อย ๆ เป็นเป็นผื่นนูน (เป็นตุ่มแข็งนูนเล็กน้อย) กลายเป็นถุงน้ำ (มีของเหลวใสบรรจุอยู่ภายใน) เป็นลักษณะตุ่มหนอง (มีของเหลวสีเหลืองบรรจุอยู่ภายใน) และเป็นฝี จนตุ่มหนองแตกและแห้งเป็นสะเก็ด ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีขึ้น จนหมดระยะที่จะสามารถแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
การรักษาโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงเป็นแบบจำเพาะ หรือเจาะจง แต่จะเป็นการรักษาตามอาการ หรือเพื่อบรรเทาอาการ และควบคุมไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยโรคนี้นั้นมีอัตราการเสียชีวิต อยู่ที่ 1-10% ซึ่งต่ำกว่าไข้ทรพิษมาก
สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC แนะนำให้ฉีดวัคซีนภายใน 4 วันหลังสัมผัสเพื่อป้องกันการติดโรค และฉีดวัคซีนภายใน 14 วันเพื่อลดความรุนแรงของโรค
การป้องกันโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
-
หลีกเลี่ยงสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์
-
กินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก และสะอาด
-
ล้างมือบ่อย ๆ
-
เฝ้าระวังอาการ 21 วันหลังกลับจากประเทศเขตติดโรค