การดูดเสมหะ หมายถึง การใช้สายยางดูดเสมหะที่สะอาดปราศจากเชื้อผ่านเข้าทางปาก จมูก หรืออุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในหลอดลมเพื่อนำเสมหะออกจากทางเดินหายใจ มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่มีเสมหะเหนียวหรือปอดทำหน้าที่ลดลง ทำให้กลไกการไอไม่เป็นปกติ หรือผู้ที่ไม่สามารถไอขับเสมหะออกมาได้
วัตถุประสงค์
- เพื่อขับเสมหะออกจากทางเดินหายใจส่วนบน
- เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไอขับเสมหะ
- ป้องกันการสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าปอด
- เพื่อการเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- เพื่อหาสาเหตุของเสียงปอดที่ผิดปกติ เช่น rhonchi (เสียงหายใจผิดปกติในขณะหายใจเข้าและออก) หรืออาการอื่นๆ ที่อาจเกิดจากการมีเสมหะคั่งค้าง
ข้อดีของการดูดเสมหะ
ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากการอุดกั้นของเสมหะ
ข้อบ่งชี้ของการดูดเสมหะ
จะทำการดูดเสมหะเมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้
- หายใจเสียงดัง
- กระสับกระส่าย
- อัตราชีพจรและการหายใจเพิ่มขึ้น
- เริ่มมีอาการเขียวคล้ำจากการขาดออกซิเจน
- ช่องทางของการดูดเสมหะ มี 2 ช่องทาง
การดูดเสมหะทางจมูกและทางปาก
- การดูดเสมหะผ่านทางท่อหายใจทางจมูก (nasopharyngeal tube หรือ nasal airway) ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาว ภายในกลวง ลักษณะของท่อโค้งและมีความยืดหยุ่นให้สามารถสอดใส่เข้าทางรูจมูกผ่านไปถึงโพรงจมูกด้านหลัง (nasopharynx) ได้สะดวก การดูดเสมหะผ่านทางท่อหายใจทางจมูกมักใช้ในกรณีผู้ป่วยขบกัดท่อหายใจทางปาก (oropharyngeal tube) บ่อยๆ
- การดูดเสมหะผ่านทางท่อหายใจทางปาก (oropharyngeal tube) ซึ่งเป็นท่อที่สอดใส่เข้าทางปากผ่านช่องปากไปถึงโคนลิ้น
- การดูดเสมหะทางท่อหายใจและท่อเจาะคอ ช่วยให้สามารถดูดเสมหะที่อยู่ในทางเดินหายใจส่วนล่างออกมาได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถไอขับเสมหะออกได้ การใส่อุปกรณ์เข้าทางท่อเจาะคอ (endotracheal tube) เข้าทางปาก (orotracheal) หรือทางจมูก (nasotracheal) โดยผ่านฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) และสายเสียง (vocal cord) เข้าสู่หลอดลม (trachea) อย่างไรก็ตามการใส่ endotracheal tube สามารถใส่ไว้ได้นานไม่เกิน 3-4 สัปดาห์ จึงเปลี่ยนเป็นท่อหลอดลมคอ (tracheostomy tube) ซึ่งเป็นการใส่เข้าสู่หลอดลมโดยตรง
ข้อที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการดูดเสมหะ
- มีเสมหะ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจ
- ขาดออกซิเจน
- ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
- มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ
- เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ
- มีรอยแผลหรือรอยแดงของผิวหนังรอบๆ หลอดหรือท่อที่ใส่ภายในหลอดลมคอ
- กระทบกระเทือนหลอดลม เช่น มีเนื้อตายหรือทะลุ
- มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
- อาเจียน สำลัก
ข้อควรระวังในการดูดเสมหะ
- การระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ขณะใส่สายดูดเสมหะให้เปิดด้านหนึ่งของตัวต่อเพื่อป้องกันการดูดอากาศออกมากเกินไป และเมื่อสายดูดเสมหะเข้าไปถึงที่ต้องการ จึงปิดรู เพื่อให้เกิดแรงดูด ขณะดูดเสมหะให้หมุนสายยางไปรอบๆ และค่อยๆ ดึงสายดูดเสมหะขึ้นมา
- ถ้าเสมหะเหนียวมาก ให้หยดน้ำเกลือ (normal saline solution) ประมาณ 3-5 มิลลิลิตรลงไปในท่อหลอดลม ช่วยละลายเสมหะให้อ่อนตัวลง ทำให้ดูดเสมหะออกได้ง่าย
- ภาวะขาดออกซิเจน ควรให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนก่อนดูดเสมหะทุกครั้งประมาณ 30 วินาทีถึง 2 นาที หรือบีบถุงลมช่วยหายใจ (Ambu bag) ต่อออกซิเจน 3-6 ครั้ง และให้ออกซิเจนหลังดูดเสมหะอีกครั้งนานประมาณ 1-5 นาที หรือบีบ Ambu bag เพื่อช่วยขยายปอด ป้องกันภาวะปอดแฟบ
- ภาวะปอดแฟบ (lung atelectasis) จากการดูดซ้ำหลายๆ ครั้ง ดังนั้นควรดูดเมื่อมีเสมหะหรือเมื่อจำเป็น การดูดแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5-10 วินาที และห่างกันประมาณ 3 นาที
อ้างอิงจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ https://www.bumrungrad.com/en/treatments/mucus-suction-1